kasetmodern logo “อโวคาโด” ผลไม้ลูกทรงรี ก้นป้านเหมือน “ลูกแพร์” ผิวขรุขระสีเขียว บางลูกผิวเรียบ ลูกใหญ่ สำหรับคนช่างกินคงจะรู้ดีว่า นำไปทำ Guacamole หรือ Avocado Dip เครื่องจิ้มอันลือชื่อของชาวเม็กซิกัน ที่นำ “อโวคาโด” สุกมาบดใส่หอมหัวใหญ่ เนื้อมะเขือเทศหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า บีบมะนาว ใส่พริก จิ้มกับนัทโช่ (คล้ายกับข้าวเกรียบบ้านเรา แต่ทำจากแป้งข้าวโพด) หรือเป็นส่วนผสมใส่ในทาโก้ รวมกับส่วนผสมอื่นๆ เช่น เนื้อบด ถั่วพินโตบด และชีส

ส่วนในเมืองไทย จะเห็น “อโวคาโด” หั่นอยู่ในแซนด์วิชของคาเฟ่ฮิบๆ หรืออยู่บนหน้าซูชิในร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์ฟิวชั่น เป็นการบ่งบอกว่า “อโวคาโด” เดินทางออกจากเม็กซิโก และกำลังกลายเป็นอาหารที่ผสมผสานไปในอาหารของประเทศต่างๆ ที่เรียกกันว่า “อาหารฟิวชั่น”

Avocados

ที่น่าแปลกคือ “อโวคาโด” เป็นผลไม้พื้นเมืองของเม็กซิโกซึ่งมีมานานแล้ว ตั้งแต่สเปนเดินทางเข้าไปในทวีปอเมริกาใต้เมื่อ 500 ปีก่อน แต่ไม่มีใครสนใจเพราะเป็นผลไม้รสจืด คนอเมริกันเพิ่งหันมาสนใจกินเมื่อศตวรรษที่ 20 อาจจะเป็นเพราะในเนื้อรสจืดๆ สีเขียวอมเหลืองนี้ เปี่ยมไปด้วยวิตามิน E และไขมันไม่อิ่มตัวเช่นเดียวกับน้ำมันมะกอก “อโวคาโด” จึงกลายเป็นผลไม้ยอดฮิตในช่วงที่กระแสสุขภาพกำลังมาแรง

ในสหรัฐอเมริกา “อโวคาโด” นำไปใช้ทำอาหารต่างๆ ทั้งไส้แซนวิช หน้าซูชิ ไอศครีม และซุปอโวคาโด โดยนำไปปั่นรวมกับน้ำสต็อกไก่ เป็นซุปเย็นที่คนรักสุขภาพเลิฟมาก เพราะนอกจากเต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามิน E แล้ว ยังไม่ผ่านการปรุงแต่งมาก ซึ่งเป็นหลักการหนึ่งของอาหารสุขภาพที่ต้องไม่ปรุงอาหารนาน เพราะจะทำให้เสียวิตามินไป และยังมีอีกหลายเมนู เช่น นำไปทำสลัดทั้งใส่รวมกับผักสลัด หรือผ่าครึ่งควักเม็ดออก และทำสลัดครีมเนื้อปูหรือกุ้งใส่ลงไป ก็เป็นอาหารยอดนิยมอีกเช่นกัน

“อโวคาโด” มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวเหมือนกับน้ำมันมะกอก จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ และอาจจะช่วยลดไขมันเลว (LDL) ส่วนคนที่ควบคุมน้ำหนักต้องระวังอย่ากินมาก เพราะเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูง “อโวคาโด” เพียงครึ่งลูกจะให้พลังงานถึง 190-238 กิโลแคลอรี และยังจัดเป็นผลไม้ที่มีโปรตีนมากที่สุดด้วย

https://www.flickr.com/photos/cifor/5702502833

ส่วนวิตามิน E ที่อยู่ในเนื้อครีมมี่ สีเขียวอมเหลือง ก็ช่วยให้ผิวพรรณดูชุ่มฉ่ำ หากกินเป็นประจำก็มีโอกาสลดริ้วรอยที่เหี่ยวย่นได้ และยังช่วยให้ผมดำเป็นมันเงา ผู้หญิงในอเมริกาใต้และเม็กซิโก ใช้ “อโวคาโด” บำรุงเส้นผมและผิวพรรณมานานนับพันปีแล้ว ปัจจุบันมีการนำ “อโวคาโด” มาใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เช่น ทำสบู่ ครีมนวดผม ครีมทาตัว ครีมทาหน้า และนำมาสกัดเป็นน้ำมันคล้ายกับน้ำมันมะกอก เนื้อน้ำมันจะมีสีเขียว เนื้อเบา มัน มีกลิ่นหอมคล้ายเนย เพื่อให้กินง่ายขึ้น เช่น ใช้จิ้มขนมปัง ใส่สลัด เหยาะในเนื้อสัตว์ต่างๆ เป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพที่กำลังมาแรง

ต้น “อโวคาโด” หากโตเต็มที่จะสูงใหญ่ได้ถึง 8 เมตร ใบสีเขียว ที่แปลกอีกอย่างคือ เป็นผลไม้ที่ไม่สุกบนต้น พอโตเต็มที่เปลือกจะมีสีเขียว ต้องเก็บลงจากต้น และพักไว้ในอุณหภูมิปกติประมาณ 4-5 วันจึงจะสุก วิธีเก็บที่ดีที่สุดต้องใช้คนเก็บเพื่อไม่ให้ช้ำ ในไร่ที่ทำน้ำมัน “อโวคาโด” จะมีการการันตีด้วยว่า วิธีเก็บต้องใช้คนเก็บทีละลูกเท่านั้น น้ำมันจึงได้คุณภาพดี

“อโวคาโด” ที่เห็นกันทั่วไปในบ้านเรา จะมีเปลือกสีเขียว ผิวขรุขระ คล้ายลูกแพร์ ลูกใหญ่จะมีผิวเรียบ และยังมีชนิดเปลือกสีแดงเลือดหมู สีเหลืองหรือแม้แต่สีดำ บางพันธุ์ก็ลูกเล็กเหมือนไข่ไก่ บางพันธุ์ก็หนักเป็นกิโล อากาศที่ขึ้นได้ดีและชอบที่สุดคือ ไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป มีลมพัดเย็นสบาย โดยเฉพาะในแถบทะลเมดิเตอร์เรเนียน ปัจจุบันนอกจากจะปลูกในเม็กซิโกแล้ว ยังมีที่ประเทศชิลี นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย ที่ขายในบ้านเราส่วนใหญ่ นำเข้าจากออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ส่วนน้ำมันอโวคาโดประเทศที่ผลิตเป็นประเทศแรกคือ นิวซีแลนด์ ขณะนี้ชิลีกำลังตามมาติดๆ

Avocado Crab Salad

ในประเทศไทยจะปลูก “อโวคาโด” เหมือนกัน เริ่มแรกมิชชั่นนารีนำมาปลูกที่จังหวัดน่านก่อน จากนั้นโครงการหลวงก็นำมาเผยแพร่ให้ชาวเขาปลูก ช่วงแรกลูกใหญ่และเนื้อไม่มัน ปัจจุบันมีการปลูกกันมากขึ้น และคุณภาพเริ่มดีขึ้น ในบ้านเรามีลักษณะเนื้อมันเป็นครีมเหมือนเนย จึงเรียกกันว่า “ลูกเนย” ส่วนประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ฟิลิปินส์ อินโดนีเซีย และพม่าก็มีปลูกเหมือนกัน นิยมนำมาปั่นกับนมหรือไอศครีม เติมน้ำตาลและราดด้วยช็อกโกแลต

คนไทยรู้จักและกิน “อโวคาโด” กันมากขึ้น สำหรับคนที่นิยมรสธรรมชาติบอกว่า แค่ผ่ากินก็อร่อยแล้ว แต่ต้องสุกพอดีเพราะหากดิบ เนื้อจะฝาดและยังมีพิษอีกด้วย “อโวคาโด” ที่สุกแล้วเปลือกจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอมเขียว หากสุกมากเปลือกจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มขึ้น เมื่อบีบเบาๆ เนื้อจะนิ่ม วิธีผ่าให้ใช้มีดผ่าครึ่งกลางลูกทั้งเปลือก ใช้ช้อนตักกินทั้งเปลือก หรือหั่นเป็นชิ้นวางบนขนมปังปิ้งทาเนยร้อนๆ ก็เป็นอาหารเช้าที่แสนอร่อย หรือจะใส่ในสลัดผักก็เป็นเมนูที่น่าสนใจ

ใครที่ยังไม่เคยลิ้มรสผลไม้พื้นเมืองเม็กซิกันที่เดินทางข้ามโลกมาถึงบ้านเรา ไม่ควรเสียโอกาสอีกต่อไป ยิ่งในยุคที่ทุกอย่างต้องใส่ใจเรื่องสุขภาพแล้ว เห็นเมื่อไรไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาด

แอมโบเซีย